วิตามินดี
Vitamin D
วิตามินดี3
DHC Vitamin D3
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวิตามินดี
วิตามินดี (Vitamin D) คือ วิตามินที่โดยปกติเราสามารถได้รับมาจากการรับประทานอาหาร ผ่านการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายพร้อมอาหารประเภทไขมัน เพราะเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน หรือได้รับผ่านทางรังสียูวีจากแสงแดด โดยจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ผิวหนังและสร้างวิตามินดีขึ้นมาให้ร่างกายดูดซึมนำไปใช้บำรุงร่างกาย
แม้ว่าโดยธรรมชาติ ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดด แต่ในปัจจุบันเนื่องจากปัญหาด้านมลภาวะสูง บรรยากาศมีหมอกควันพิษที่ทำให้แสงแดดที่ส่องผ่านลงมาด้อยประสิทธิภาพลง ประกอบกับชีวิตปัจจุบันที่คนมักอาศัยอยู่ในตึกทึบ ส่งผลให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงอาทิตย์ได้น้อยลง ทำให้คนปัจจุบันมีโอกาสขาดวิตามินดี โดยเฉพาะเด็กในวัยเจริญเติบโตที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้วิ่งเล่นในสภาพแวดล้อมที่ได้รับแสงแดดที่มีคุณภาพ
ปริมาณวิตามินดีที่แนะนำต่อวัน
วิตามินเอปริมาณ 1 IU เท่ากับ 0.025 ไมโครกรัม ปริมาณที่แนะนำการทานเสริมสำหรับผู้ใหญ่คือ อย่างน้อยวันละ 200-400 IU หรือประมาณ 5-10 ไมโครกรัมต่อวัน
สำหรับเด็กวัยเจริญเติบโตและเด็กทารก สมาคมกุมารแพทย์สหรัฐอเมริกา แนะนำให้รับประทานเสริมอย่างน้อย 200 IU ต่อวัน
ประโยชน์ของวิตามินดี
- ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสารอาหารประเภทแคลเซียมและฟอสฟอรัส (ซึ่งทำหน้าที่บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยให้มวลกระดูกแข็งแรง บำรุงการเจริญเติบโต เพิ่มความสูง และการยืดกระดูกของเด็ก ป้องกันโรคกระดูกอ่อนในเด็ก และโรคกระดูกพรุนในผู้สูงวัย
- เมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินซี (Vitamin C) และ วิตามินเอ (Vitamin A) จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันไข้หวัด บำรุงร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมวิตามินเอให้ดียิ่งขึ้น
- ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม และรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
โรคและอาการขาดวิตามินดี
เด็กที่ขาดวิตามินดีจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกอ่อน ปัญหาฟันผุขั้นรุนแรง กระดูกไม่แข็งแรง และเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้น
ในผู้ใหญ่และผู้สูงวัยจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ หักง่าย ฟันไม่แข็งแรง
แหล่งอาหารธรรมชาติที่พบวิตามินดี
วิตามินดีพบได้มากในปลาบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาเฮร์ริง และยังพบได้ในผลิตภัณฑ์จากนมและน้ำมันตับปลา
ประเภทอาหารเสริมวิตามินดี
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินดีมักเป็นสารสกัดจากน้ำมันตับปลา และจำหน่ายในรูปของแคปซูลในปริมาณ 400 – 1,000 IU ต่อวัน
การรับประทานวิตามินดีเกินปริมาณ
การรับประทานวิตามินดีเสริมในปริมาณมากกว่า 20,000 IU ต่อวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดอันตรายกับสุขภาพได้ โดยอาการที่แสดงออกคือ อาเจียน ท้องร่วง คันตามผิวหนัง หิวกระหายน้ำผิดปกติ เจ็บตา กลั้นปัสสาวะไม่ได้ กระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ เกิดหินปูนแคลเซียมจับที่หลอดเลือด ปอด ตับ ไต
และในเด็กไม่ควรรับประทานมากกว่า 1,800 IU ต่อวัน จะเกิดปัญหาวิตามินดีเกินได้
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- เด็กที่ไม่ได้ดื่มนมที่เสริมวิตามินดีอย่างน้อยวันละ 500 ซีซี ควรรับประทานวิตามินดีเสริมในปริมาณอย่างน้อย 200 IU
- ผู้สูงวัยที่อายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง จะมีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี
- ผู้ที่อยู่ในที่มีมลภาวะควันพิษ ควันดำเยอะ เช่นในเมืองใหญ่ แหล่งอุตสาหกรรม ควรรับประทานวิตามินดีเสริม
- ผู้ที่ทำงานและพักอาศัยในตึกทึบปิด ผู้ที่ทำงานกะกลางคืน หรือผู้ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด ควรรับประทานวิตามินดีเสริมทดแทน
- ผู้ที่เป็นโรคชัก หรือรับประทานยากันชักอยู่ ควรทานวิตามินดีเสริม
- แนะนำรับประทานร่วมกับวิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโคลีน เพื่อให้วิตามินดีทำงานร่วมกันได้ประสิทธิภาพดีที่สุด
- ในผู้ที่โดนแสงยูวีจากแดดมากเกินไปจนผิวดำคล้ำขึ้นกลายเป็นสีแทนเข้ม ร่างกายก็จะหยุดการผลิตวิตามินดี
- ควันพิษ มลภาวะในบรรยากาศ และน้ำมันแร่ เป็นปัจจัยที่ขัดขวางการสร้างและดูดซึมวิตามินดีเข้าสู่ร่างกาย
หมายเหตุ
- หลีกเลี่ยงการเสริมวิตามินดีในสัตว์เลี้ยงเช่นหมาหรือแมวเองโดยไม่ได้รับการแนะนำจากแพทย์