อาหารเสริมวิตามินเอ
Vitamin A Supplement
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวิตามินเอ
วิตามินเอ (Vitamin A) คือวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อใช้ไขมันและสารอาหารแร่ธาตุต่างๆเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
โดยส่วนใหญ่ร่างกายจะสามารถสะสมวิตามินเอได้ จึงไม่จำเป็นต้องทานทดแทนทุกๆวัน แต่ควรรับประทานเป็นช่วงๆเพื่อเติมเต็มสารอาหารไม่ให้ขาด หรือรับประทานในช่วงเวลาที่ต้องการบำรุงเฉพาะด้าน
วิตามินเอ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ชนิดที่ได้มาจากเนื้อสัตว์ เรียกว่า เรตินอล (Retinol) และชนิดที่พบได้ทั้งในพืชและเนื้อสัตว์ คือ โปร-วิตามินเอ หรือ รู้จักกันว่า แคโรทีน (Carotene)
ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวัน
วิตามินเอปริมาณ 1 IU เท่ากับ เรตินอล(Retinol) 0.3 ไมโครกรัม และเท่ากับ เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) 0.6 ไมโครกรัม
ผู้ชายควรได้รับวิตามินเอปริมาณ 5,000 IU ต่อวัน ผู้หญิงควรได้รับวิตามินเอปริมาณ 4,000 IU ต่อวัน ในหญิงที่กำลังให้นมบุตรควรรับประทานวิตามินเอเพิ่มขึ้นอีก 500 IU ต่อวันในช่วงครึ่งปีแรกของการให้นมบุตร และในช่วงครึ่งปีหลังควรเพิ่มปริมาณการทานวิตามินเออีก 400 IU เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดวิตามินเอ แต่ในหญิงตั้งครรภ์ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการทาน ยังคงควรทานเกิน 4,000 IU ต่อวัน
ในส่วนของ เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) เป็นวิตามินเอชนิดที่เป็นที่นิยม เพราะไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นพิษหากรับประทานเกินปริมาณเหมือนวิตามินเอทั่วไป แต่เบต้าแคโรทีนก็ยังไม่ถูกจัดให้เป็นสารอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องการในทางการแพทย์ จึงไม่มีกำหนดปริมาณที่ควรทานต่อวันออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มีข้อแนะนำทั่วไปคือควรรับประทานเบต้าแคโรทีนในปริมาณ 10,000-15,000 IU ต่อวันจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารนี้ในปริมาณที่เพียงพอ
ประโยชน์ของวิตามินเอ
- วิตามินเอคืออาหารบำรุงสายตาที่สำคัญ ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ช่วยบำรุงสายตาเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นให้ดีขึ้น ช่วยสร้างเม็ดสีที่มีคุณสมบัติไวต่อแสงภายในตาของเรา ช่วยป้องกันโรคตาบอดกลางคืน และโรคตาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคตาต้อหิน ต้อลม ต้อกระจก ตาแสบ ตามัวพร่า เป็นต้น
- วิตามินช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ทำให้ร่างกายฟื้นฟูจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น
- วิตามินเอยังมีคุณสมบัติสำคัญในด้านความงามของผิวพรรณ โดยทำหน้าที่ลดปัญหาสิว และลดรอยจุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากสิว ช่วยลดริ้วรอยตื้นๆของผิวให้กระชับขึ้น ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- ลดปัญหาโรคผิวหนังบางประเภท เช่นโรคผิวหนังชนิดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชันนะตุ ฝี ตุ่มพุพอง และช่วยรักษาแผลเปิดต่างๆ
- ช่วยบำรุงเนื้อเยื่อชั้นนอกของอวัยวะต่างๆในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
- ลดปัญหาการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ช่วยบรรเท่าโรคไทรอยด์เป็นพิษและโรคถุงลมโป่งพอง
โรคและอาการขาดวิตามินเอ
การขาดวิตามินเอ ทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม โรคตาบอดกลางคืน โรคนัยต์ตาแห้ง อาการตาแสบ
ปัญหาการขาดวิตามินเอพบมากในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการขาดสารอาหารใรชีวิตประจำวัน และในผู้ใหญ่มักพบการขาดวิตามินชนิดนี้ได้จากปัญหาการดูดซึมไขมันบกพร่องเรื้อรังที่ส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินเอด้วยเช่นกัน
แหล่งอาหารธรรมชาติที่พบวิตามินเอ
วิตามินเอพบได้ใน น้ำมันตับปลา ไข่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ผักสีเหลืองและเขียวเข้ม ผลไม้สีเหลือง
ประเภทอาหารเสริมวิตามินเอ
ในปัจจุบันพบอาหารเสริมวิตามินเอได้ 2 รูปแบบ แบบแรกคือ วิตามินเอที่อยู่ในรูปสารสกัดจากน้ำมันตับปลาธรรมชาติ และแบบที่สองคือรูปที่กระจายตัวในน้ำ ในรูปแบบของแอซิเทต หรือ ปาล์มมิเทต โดยในรูปแบบที่สองจะเป็นรูปแบบที่เหมาะกับสำหรับผู้ที่เป็นสิวง่าย ต้องการทานเพื่อรักษาสิว และผู้ที่หลีกเลี่ยงการทานน้ำมัน
การรับประทานวิตามินเอเกินปริมาณ
ในผู้ที่รับประทานวิตามินเอมากเกินไป หรือโดยเฉลี่ยมากกว่า 50,000 IU ทุกๆวันต่อเนื่องหลายเดือนในผู้ใหญ่ และการรับประทานมากกว่า 18,500 IU ต่อเนื่องทุกวันในเด็กทารก จะทำให้เกิดอันตรายได้
โดยสัญญาณที่บอกว่าเราได้รับเกินปริมาณคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ผมร่วง ผิวลอก เกิดผื่น ตัวพร่ามัว ปวดร้าวกระดูก มีอาการเหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ปวดหัว ตับโต และประจำเดือนมาไม่ปกติ
และการรับประทานเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) เกินปริมาณ 34,000 IU ต่อเนื่องทุกๆวัน จะทำให้เกิดปัญหาผิวเหลืองได้
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- แนะนำรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอร่วมกับวิตามินบีรวม (Vitamin B mix), วิตามินอี (Vitamin E), วิตามินดี (Vitamin D), แคลเซียม (Calcium), สังกะสี – ซิงค์ (Zinc) และ ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินเอ เช่นอวัยวะตับจะต้องการ สังกะสี – ซิงค์ ไปช่วยในกระบวนการใช้วิตามินเอ เป็นต้น
- ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมวิตามินอี (Vitamin E) ในปริมาณ 400 IU ทุกวัน ควรจะรับประทานวิตามินเอควบคู่ไปด้วยในปริมาณอย่างน้อย 10,000 IU
- วิตามินเอ ยังช่วยป้องกันการออกซิไดซ์ของวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายของเราดูดซึมวิตามินซีไปใช้งานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น
- ในผู้ที่มีปัญหาคอเลสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง และกำลังรับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอล เช่น คอเลสไทรามีน – เควสแทรน เป็นต้น ควรรับประทานวิตามินเอเสริม เพราะร่างกายจะดูดซึมวิตามินเอได้น้อยลง ทำให้เสี่ยงต่อการขาดวิตามินชนิดนี้ได้
- สำหรับผู้ที่มีการรับประทานยาคุมกำเนิดอยู่ ร่างกายจะต้องการวิตามินเอในปริมาณที่ลดลง
- ในผู้ที่ชอบรับประทานแครอท ผักขม แคนตาลูป มันเทศ และตับเป็นประจำ ร่างกายจะได้รับวิตามินเอที่ค่อนข้างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องทานเสริมอาหารอีก ยกเว้นในกรณีต้องการบำรุงเฉพาะด้าน เช่นการรักษาสิว ลดรอยแผล จึงเลือกรับประทานเฉพาะช่วงเวลาหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่อง
หมายเหตุ
- สตรีตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานวิตามินเอ
- ไม่ควรให้สัตว์เลี้ยงของคุณเช่นหมาหรือแมวรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอ ยกเว้นว่าจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์